บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน ปี 2557

บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน)

รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน ปี 2557

  • รายได้จากการขายและบริการกลุ่มรวม 14,014 ล้านบาท ปริมาณขายเหล็กรวม 711 พันตัน
  • ไตรมาส 3 กำไรสุทธิ (งบเดี่ยว) 36 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ (งบรวม)  547  ล้านบาท
  • งวด 9 เดือน
  • ไตรมาส 3 EBITDA (งบเดี่ยว) 581 ล้านบาท EBITDA กลุ่ม (งบรวม)  866
  • EBITDA รายไตรมาสของธุรกิจโรงถลุงเหล็กเป็นบวกครั้งแรก 339 ล้านบาทนับตั้งแต่เริ่มผลิตเหล็กแท่งแบนในไตรมาส 2/2555

บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3/2557 และผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2557 ดังนี้

ไตรมาส 3/2557

งบการเงินเฉพาะบริษัท – บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 7,845 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 9  จากไตรมาสก่อน) โดยมีปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 355 พันตัน (ลดลงร้อยละ 8 จากไตรมาสก่อน และ ลดลงร้อยละ 40 จากงวดเดียวกันปีก่อน) โดยเป็นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ร้อยละ 34 ของปริมาณขายรวม  EBITDA  581 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 จากงวดเดียวกันปีก่อน)   และมีกำไรสุทธิ 36 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 114 จากงวดเดียวกันปีก่อน)

งบการเงินรวม – บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 14,014 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 22 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 17 จากงวดเดียวกันของปีก่อน) จากปริมาณขายเหล็กรวมสูงถึง  711 พันตัน Group EBITDA 866 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจาก 0.3 ล้านบาทในไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ165 จากงวดเดียวกันปีก่อน)   มีผลขาดทุนสุทธิ 547 ล้านบาท (ผลประกอบการโดยรวมดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างระหว่างราคาขาย และวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น)

งวด 9 เดือน ปี 2557

งบการเงินเฉพาะบริษัท – บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 26,616 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 27 จากงวดเดียวกันของปีก่อน) โดยมีปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน  1,201  พันตัน (ลดลงร้อยละ 30 จากงวดเดียวกันปีก่อน) โดยเป็นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ร้อยละ 38 ของปริมาณขายรวม  EBITDA  2,128 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 5 จากงวดเดียวกันปีก่อน)   และมีกำไรสุทธิ  410 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 204 จากงวดเดียวกันปีก่อน)

งบการเงินรวม – บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 51,076 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากงวดเดียวกันของปีก่อน) จากปริมาณขายเหล็กรวมสูงถึง 2,561 พันตัน Group EBITDA 942 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 166 จากงวดเดียวกันปีก่อน)   มีผลขาดทุนสุทธิ 3,351 ล้านบาท (ขาดทุนน้อยลงร้อยละ 19 จากงวดเดียวกันปีก่อน)

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3/2557 ของบริษัทย่อยและกิจการที่ควบคุมร่วมกัน มีดังต่อไปนี้

  • ธุรกิจโรงถลุงเหล็ก
  • ธุรกิจท่าเรือ มีรายได้จากการให้บริการรวม 78 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 18 จากงวดเดียวกันปีก่อน) มีกำไรสุทธิ 24 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 278 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 34 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
  • ธุรกิจวิศวกรรม มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 199 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 13 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 8 จากงวดเดียวกันปีก่อน) เป็นรายได้นอกกลุ่มร้อยละ 69 และขาดทุนสุทธิ 76  ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 138 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ1033 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
  • ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดเย็น7 จากงวดเดียวกันปีก่อน) กำไรสุทธิ 33 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 476 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 241 จากงวดเดียวกันปีก่อน)

นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสเอสไอกล่าวว่า  “ความพยายามของเราที่จะพลิกฟื้นสถานการณ์ธุรกิจยังส่งผลดีขึ้น ในด้านงบการเงินรวมของกลุ่มนั้น จากที่เรามี EBITDA เป็นบวกเล็กน้อยในสองไตรมาสแรกของปี ในไตรมาสสามนี้เรามี EBITDA เป็นบวกถึง 866 ล้านบาท

ธุรกิจโรงถลุงเหล็ก จากที่สามารถพลิกสถานการณ์มามี EBITDA เป็นบวกครั้งแรกในเดือนมิถุนายน  เรามี EBITDA เป็นบวกในไตรมาส 3/2557 เป็นไตรมาสแรก 339 ล้านบาท ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยเหล็กแท่งปรับตัวลดลงร้อยละ 3  เมื่อเทียบกับ   ไตรมาสก่อน เราได้ส่วนต่างราคาเหล็กแท่งแบน (Slab Spread) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ซึ่งเป็นผลมาจากทั้งราคาวัตถุดิบลดลง และ ความสามารถของเราในการปรับสูตรการใช้วัตถุดิบ และในขณะที่ความต้องการเหล็กแท่งแบนทั่วโลกยังคงสูงตลอดไตรมาส เราจำหน่ายเหล็กแท่งแบนให้กับบุคคลภายนอกร้อยละ 52 เนื่องจากมีการใช้ภายในกลุ่มสูงขึ้น ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5 เป็น 705 พันตัน ซึ่งทำให้ต้นทุนเราลดลง

ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน ยอดขายลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 9 เนื่องจากความต้องการเหล็กในประเทศยังไม่ฟื้นตามที่คาดไว้หลังจากภาวะการเมืองเริ่มคลี่คลาย อย่างไรก็ตามเราประสบความสำเร็จด้านส่วนต่างราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน (HRC Spread) ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 ทำให้เรามีผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 36 ล้านบาทในไตรมาสนี้แม้ว่าปริมาณขายจะลดลงก็ตาม”

เรายังคงดำเนินกลยุทธ์สองทาง ทั้งในส่วนของการสร้างสรรค์นวัตกรรมและบูรณาการธุรกิจต่างๆของเราโดยมีโครงการต่างๆที่น่าสนใจที่จะเสร็จในไตรมาสสุดท้ายของปีและอยู่ในแผนงานของปีหน้า เรากำลังพัฒนาแผนงานต่อเนื่องสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ใหม่ ๆ ซึ่งจะทำให้ยอดขายเราเติบโตในปีต่อๆไป นอกจากนี้ แผนการเพิ่มมูลค่าธุรกิจกำลังถูกขับเคลื่อนและเกิดผลโดยผ่านโครงการ AAA Projects ซึ่งเป็นโครงการที่มีผลตอบแทนสูงต่างๆที่เรากำลังพัฒนาและจะทยอยเสร็จในระยะสั้นและระยะกลาง ขณะนี้สถานการณ์ธุรกิจได้พลิกกลับมา และมีแนวโน้มในการทำกำไรได้สูงขึ้น เราต้องทวีความพยายามเพิ่มขึ้นในการบูรณาการธุรกิจในกลุ่มให้ดีที่สุด เช่น การเป็นเลิศในเชิงปฏิบัติการ รวมทั้งการแบ่งปันและพัฒนาบุคลากรในด้านต่างๆทั่วทั้งกลุ่ม”

“เรามองแนวโน้มตลาดระยะสั้นยังคงอ่อนตัว แม้ว่าการเมืองในประเทศจะมีเสถียรภาพจากการบริหารโดยรัฐบาลใหม่  เศรษฐกิจภายในประเทศยังคงซบเซา เราคาดว่าความต้องการเหล็กในประเทศจะยังคงอ่อนตัวในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า ก่อนที่โครงการด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเริ่มส่งผลและแปลงไปสู่ความต้องการเหล็กที่มากขึ้น ในระดับโลก มีหลายแรงต้านทานทั้งจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน และความตึงเครียดทางการเมืองในส่วนต่างๆของโลก กำลังการผลิตเหล็กของจีนที่ล้นเกินความต้องการยังคงเป็นปัญหาใหญ่สุด การส่งออกเหล็กของจีนรายเดือนไปแตะจุดสูงสุดและกดดันความเชื่อมั่นของตลาดเหล็กโลก ข่าวดีก็คือราคาแร่เหล็กซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของเรายังคงมีแนวโน้มลดลงอันเนื่องมาจากมีอุปทานมาก ดังนั้นเราจะยังคงสามารถรักษาส่วนต่างราคาที่เหมาะสม เราคาดว่ายอดขายในธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนจะอ่อนตัวลงในไตรมาสที่ 4 ปีก่อนที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2015 ในขณะที่ธุรกิจโรงถลุงเหล็กยังคงมีทิศทางที่ดีในแง่ของผลดำเนินงานด้านธุรกิจ” นายวินกล่าว